DSpace Collection: บทความวิจัย เป็นผลงานที่ทำเสร็จสมบูรณ์แล้วที่มีการตีพิมพ์ลงวารสารนาคบุตรปริทรรศน์ และวารสารวิชชา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
บทความวิจัย เป็นผลงานที่ทำเสร็จสมบูรณ์แล้วที่มีการตีพิมพ์ลงวารสารนาคบุตรปริทรรศน์ และวารสารวิชชา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
http://dspace.nstru.ac.th:8080/dspace/handle/123456789/2120
2024-02-29T04:37:22Z
2024-02-29T04:37:22Z
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต่อการส่งเสริมความร่วมมือของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12
มนตรี, แก้วเชิด
อโนทัย, ประสาน
สุภาพ, เต็มรัตน์
http://dspace.nstru.ac.th:8080/dspace/handle/123456789/2451
2021-09-08T08:06:15Z
2564-01-31T00:00:00Z
Title: บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต่อการส่งเสริมความร่วมมือของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12
Authors: มนตรี, แก้วเชิด; อโนทัย, ประสาน; สุภาพ, เต็มรัตน์
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. เพื่อศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 2. เพื่อศึกษาการส่งเสริมความร่วมมือของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 และ 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต่อการส่งเสริมความร่วมมือของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือผู้บริหารสถานศึกษา และครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 12 จำนวน 357 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
จากผลการวิจัยพบว่าบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดยเรียงตามลำดับดังต่อไปนี้ ด้านการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านการปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ด้านการมีภาวะความเป็นผู้นำ และด้านการพัฒนาศักยภาพบุคคลและเทคโนโลยี การส่งเสริมความร่วมมือของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 12 โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงตามลำดับดังต่อไปนี้ การสร้างความถูกต้องชอบธรรม การสร้างความไว้ใจ การสร้างภาวะผู้นำ การวางแผน การสร้างข้อตกลงเบื้องต้น และการบริหารจัดการความขัดแย้ง บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต่อการส่งเสริมความร่วมมือของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05
2564-01-31T00:00:00Z
บทบาทของผู้บริหารในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3
พิมพ์ใจ, ปั้นรอบรู้
อโนทัย, ประสาน
http://dspace.nstru.ac.th:8080/dspace/handle/123456789/2450
2021-09-08T08:01:09Z
2564-08-31T00:00:00Z
Title: บทบาทของผู้บริหารในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3
Authors: พิมพ์ใจ, ปั้นรอบรู้; อโนทัย, ประสาน
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารในการบริหารงาน วิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำแนกตาม ตำแหน่ง ระดับการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้บริหารและ ครูผู้สอนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 453 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้คือ แบบสอบถาม เป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน t-test และการทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (F-test แบบ one way ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทของผู้บริหารเพื่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า การพัฒนากระบวนการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษา และด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษามีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 2) บทบาทของผู้บริหารเพื่อการ บริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำแนกตามตำแหน่งไม่แตกต่างกัน จำแนกตามระดับการศึกษากับประสบการณ์การทำงานแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2564-08-31T00:00:00Z
บทบาทการเป็นตัวแปรคั่นกลางของสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะตำแหน่ง ที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยองค์การกับการปฏิบัติงาน ประกันคุณภาพการศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคใต้
โสภิตา, ยังเจ็ก
อิศรัฏฐ์, รินไธสง
http://dspace.nstru.ac.th:8080/dspace/handle/123456789/2449
2021-09-08T07:53:55Z
2564-08-30T00:00:00Z
Title: บทบาทการเป็นตัวแปรคั่นกลางของสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะตำแหน่ง ที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยองค์การกับการปฏิบัติงาน ประกันคุณภาพการศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคใต้
Authors: โสภิตา, ยังเจ็ก; อิศรัฏฐ์, รินไธสง
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทการเป็นตัวแปรคั่นกลางของสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะตำแหน่งที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยองค์การกับการปฏิบัติงานประกันคุณภาพการศึกษา ในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคใต้ กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานประกันคุณภาพการศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคใต้ ประจำปีการศึกษา 2558 จำนวน 474 คน ซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยใช้หน่วยมหาวิทยาลัย 5 ราชภัฏกลุ่มภาคใต้เป็นหน่วยในการสุ่ม แบบการวิจัยที่ใช้เป็นวิธีการเชิงปริมาณ (Quantitative Method) เพื่อตรวจสอบบทบาทการเป็นตัวแปรคั่นกลางของสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะตำแหน่งที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยองค์การกับการปฏิบัติงานประกันคุณภาพการศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคใต้ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่าความเบ้ ค่าความโด่ง ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ซึ่งในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้การวิเคราะห์สมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) โดยการวิเคราะห์เส้นทาง (Path Analysis)
ผลการวิจัยพบว่า บทบาทการเป็นตัวแปรคั่นกลางของสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะตามลักษณะงานที่ปฏิบัติ พบว่าทั้งสองตัวแปรมีบทบาทการเป็นตัวแปรคั่นกลางบางส่วน (partial mediation) เนื่องจากทั้งตัวแปรภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (LS) การมีส่วนร่วม (PC) และการจัดการขององค์การ (OG) นอกจากจะส่งผลทางอ้อมผ่านสมรรถนะหลักและสมรรถนะเฉพาะตามลักษณะงานที่ปฏิบัติแล้วยังส่งผลโดยตรงต่อการปฏิบัติงานประกันคุณภาพ จึงกล่าวได้ว่าสมรรถนะเฉพาะเป็นตัวแปรสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างภาวะผู้นำ การมีส่วนร่วม และการจัดการองค์การไปยังการปฏิบัติงานประกันคุณภาพมากกว่าสมรรถนะหลัก แต่ข้อสรุปนี้ไม่ได้หมายความว่าสมรรถนะหลักไม่สำคัญ เพียงแต่สำคัญน้อยกว่าเท่านั้น
2564-08-30T00:00:00Z
การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
สุภากาญจน์, ชัยฤกษ์
กฤตกร, ทองนอก
สมปอง, รักษาธรรม
http://dspace.nstru.ac.th:8080/dspace/handle/123456789/2448
2021-09-08T07:47:25Z
2564-08-29T00:00:00Z
Title: การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
Authors: สุภากาญจน์, ชัยฤกษ์; กฤตกร, ทองนอก; สมปอง, รักษาธรรม
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนา การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) จากแบบสอบถาม (Questionnaire) ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ประชาชนในพื้นที่ตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 400 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ประกอบการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) จำนวน 25 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจงหาค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และวิเคราะห์ข้อมูล เชิงพรรณา (Descriptive data analysis)
ผลการวิจัยพบว่า ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ในระดับปานกลาง ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมคิด 2) การมีส่วนร่วมตัดสินใจ 3) การมีส่วนร่วมดำเนินการ 4) การมีส่วนร่วมรับผล และ 5) การมีส่วนร่วมประเมินผล แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการบริหารงานขององค์การ บริหารส่วนตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช หน่วยงานจะต้องมีการประชาสัมพันธ์และเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรม โดยการสร้างความเชื่อมั่นและเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาเป็นส่วนร่วมในคณะทำงานหรือคณะกรรมการรับฟังความเห็น ข้อเสนอ ข้อมูล หรือแนวทางการตัดสินใจ หรือแนวปฏิบัติให้มากที่สุด ทั้งนี้ต้องกระทำโดยปราศจากอคติหรืออยู่บนเงื่อนไขแห่งความขัดแย้งเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียสามารถชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ได้
2564-08-29T00:00:00Z